1.3 ขั้นคู่ (Interval)
เป็นการเรียกระยะห่างระหว่างโน้ต2ตัว แสดงความสัมพันธ์ระหว่างโน้ตทั้ง2 ปกติจะเป็นการนับโดยอ้างอิงชื่อเรียกตัวโน้ตเป็นไปตามลำดับโดยไม่ต้องสนใจว่าโน้ตนั้นจะติดเครื่องหมายชาร์ป(#) หรือแฟล็ต (b) หรือไม่
เช่น โน้ตตัวโด กับ ตัวซอล ให้นับโน้ตตัวโดเป็นตัวที่1 ไล่ขึ้นไปตามลำดับ จะได้โน้ตเรเป็นตัวที่2 , มีเป็นตัวที่3, ฟาเป็นตัวที่4 และซอลเป็นโน้ตตัวที่5 ดังนั้นโน้ตโดกับซอลจึงมีความสัมพัธ์เป็นคู่5 ในขณะเดียวกัน ด#กับซ หรือ ดbกับซ# ก็เป็นคู่5เช่นเดียวกันครับ เพราะเราไม่ได้สนใจเครื่องหมายชาร์ป(#)หรือแฟล็ต(b)
ขั้นคู่ดูเหมือนง่ายไม่มีอะไร แต่เนี่ยเป็นพื้นฐานมาใช้ประสานเสียงให้เพลงเกิดความไพเราะขึ้นตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงเลยครับ
ขอยกตัวอย่างให้เห็นเบื้องต้นในการเป่าขลุ่ย ที่เราเอามาเป่าเอื้อนหรือทำเสียงโหยหวนกัน สังเกตุไหมว่าที่เราชอบเป่าจะเป็นโน้ตคู่3 ที่เห็นบ่อยคือ ล-ดํ , ม-ซ , รํ-ฟํ เช่นจะเป่าเสียงโดสูงก็เป่าเสียงลาก่อนแล้วเอื้อนเข้าโดสูง หรือจะเป่าโน้ตซอลก็เป่าโน้ตตัวมีก่อนเช่นเดียวกัน
อีกอย่างโน้ตตัวแรกของเพลงที่ตรงกับคำร้องแรกหรือขึ้นท่อนเพลงใหม่ ที่นิยมเป่าก็เห็นมี2แนวคือใช้โน้ตคู่2โดยเป่าโน้ตคู่2ที่ต่ำกว่าแล้วเอื้อนเข้าหาโน้ตหลักเช่นเพลงขึ้นด้วยโน้ตตัวลาก็เป่าโน้ตตัวซอลก่อนแล้วเอื้อนเข้าหาโน้ตลา อีกวิธีคือการเป่าไล่โน้ตจากสูงกว่ามาหาโน้ตหลักโดยเริ่มที่คู่4หรือคู่5 เช่นโน้ตซอลเป็นโน้ตหลักที่ต้องเป่า ก็ให้เป่าไล่โน้ตโดสูง ที ลา และซอล ในลมเดียวอย่างรวดเร็ว ก็ได้เช่นกันครับ
ลองฟังเยอะๆแล้วลองวิเคราะห์เป่าดูครับว่าเสียงที่เพราะๆเป็นคู่อะไรบ้างโน้ตอะไรบ้าง จะได้แนวทางที่หลายหลายมากขึ้น
อีกอย่างหนึ่งถ้าในเพลงเจอโน้ตเสียงต่ำกว่าเสียงขลุ่ยเป่าได้เช่นทีต่ำ หรือ ลาต่ำ วิธีหนึ่งก็คือเปลี่ยนตัวโน้ต ปกติจะเห็นใช้โน้ตคู่4 จะเห็นได้ว่าเรานำใช้โน้ตตัวมีมาแทนโน้ตทีต่ำ และ โน้ตตัวเร มาแทนโน้ตลาต่ำ เป็นต้น
ในการหัดเป่าขลุ่ยนอกจากหัดเป่าไล่นิ้วโน้ตโด เร มี..ตามปกติ ก็หัดลองไล่นิ้วแบบขั้นคู่ดูบ้างนะครับ เริ่มจากโน้ตคู่2คือ โดเร เรมี มีฟา ฟาซอล .... และโน้ตคู่3 คือ โดมี เรฟา มีซอล ... ไปเรื่อยๆและไล่กลับจากสูงมาต่ำ โน้ตคู่2และคู่3จะนำมาใช้บ่อยมากในการเป่าขลุ่ยให้ไพเราะครับ